จำเริญขึ้นอย่างมีดุลยภาพ (Equilibrium Growth)
 
 


วิศรุต จินดารัตน

 

พระธรรมลูกา 2:52 “พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้น ในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย                และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย”

 
              จำเริญ เป็นคำกริยา แผลงมาจากคำว่า เจริญ แปลว่า เติบโต งอกงาม มากขึ้น สมบูรณ์ (growth)
             ดุลยภาพ เป็นคำนาม หมายถึง ความเท่ากัน ความเสมอกัน ทัดเทียมกัน มีสมดุล (equilibrium)
มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสาร ทำธุรกรรมร่วมกันทาง internet มีโครงข่ายเชื่อมโยงกัน ทั่วโลก เพราะมีความเร็ว หรือ speed เป็นตัวแปรสำคัญ โดยไม่ต้องมีสำนักงาน ไม่ต้องมี office ก็สามารถทำการค้าด้วยกันได้ เพราะนี่คือองค์การเสมือนจริง (virtual organization) ทำให้เกิด E. Commerce (พาณิชย์อีเล็กโทรนิค) E. Learning (การเรียนการสอนโดยอีเล็กโทรนิค) E. Government (รัฐบาลอีเล็กโทรนิค) ( ตามความคิดของ Bill Gates อภิมหาเศรษฐีที่สร้างตนเองมาจากกิจการ Software computer) สามารถทำการค้าขายหรือสื่อสารกันได้รวดเร็วทันใจ ทุกคนจึงมุ่งแต่เรื่องของ Electronic ที่เน้นในเรื่องของ ความเร็ว(Speed) จนลืมกระแสพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือน นั่นก็คือ Enough ซึ่งหมายถึง ความพอเพียง เพียงพอ และรู้จักพอ เมื่อไม่รู้จักคำว่า “พอ” คนที่อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบผู้อื่นจึงใช้ความ เหนือกว่าทั้งในด้านอำนาจการเมืองการปกครอง และอำนาจการเงิน กอบโกยเพื่อตัวเองและบริวาร ทำให้ทรัพย์สมบัติของตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการดูดเอาทรัพยากรที่ควรแบ่งปันแก่ คนทั้งหลายมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว เพราะคำว่า “ไม่รู้จักพอ” ทำให้สังคมขาดดุลยภาพ ไม่มีความสมดุล เพราะ “คนรวยก็จะยิ่งรวยล้นฟ้า ส่วนคนจนก็จะยิ่งยากจนลง” (The rich get richer, the poor get poorer) เศรษฐกิจของชาติในภาพรวมจึงเรียกได้ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” (คนรวยมีเพียงกระจุกเดียว แต่คนจนกระจายไปในทุกหย่อมหญ้า)

              ความไม่สมดุลทำให้เกิดช่องว่างทางสังคม เป็นความแตกต่างที่ทำให้คนไทยเสียความเป็นไทยไป กลายเป็นอมนุษย์สองจำพวก
                    จำพวกแรก คือ คนรวย ถือว่าตนมีบุญญาธิการ มีอำนาจ มีเงิน สามารถทำตามใจตนเองได้ มีลูกน้องบริวาร ซื้อได้ทุกอย่างแม้ความอยุติธรรม คนจำพวกนี้จึงเป็นเจ้าพ่อ (god father) ที่คอยข่มเหง รังแก และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
                    จำพวกที่สอง คือ คนจน คนกลุ่มนี้มักไม่ยอมรับสภาพของตน เพราะคิดจะรวย จะมีเหมือนกลุ่มแรก จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความรวย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ตั้งเป็นซ่องโจร ค้าขายของผิดกฎหมาย ยาเสพติด ตลอดจนการจี้ปล้น
คนทั้งสองจำพวกนี้ทำให้สังคมขาดดุลยภาพ (imbalances) ยิ่งเนิ่นนานวันสังคมก็ยิ่ง อ่อนแอลง พิการ และจะล่มสลายไปในที่สุด

            ในด้านการจัดการศึกษา เมื่อเราดูในภาพรวมจะเห็นว่าปัญหาใหญ่ของการศึกษาไทย ก็คือ การไม่สามารถเตรียมคนไทยหรือนักเรียนไทยให้สามารถเผชิญกับยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง (the changing world) อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจาก Electronic ดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะการศึกษาที่เน้นมิติของการตั้งรับมากกว่าเชิงรุก กล่าวคือต้องรอให้วิทยาการของโลกเจริญก้าวหน้าไปก่อนแล้วจึงค่อยปรับหลักสูตรตาม ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถรู้เท่าทันแนวโน้มของโลก คอยแต่จะวิ่งไล่ตามกระแสของโลก มีการเรียนรู้น้อย คิดไม่เป็น ไม่สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชื่อมโยงการคิดได้ จึงไม่เกิดปัญญา แก้ปัญหาไม่เป็น ทำให้สังคมอ่อนแอ คนไทยยังเห็นแคบๆ ใกล้ตัว เช่น เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรค เห็นแก่พวก ขาดจิตสาธารณะ (public mind) ไม่รับผิดชอบในส่วนรวม เอาตัวรอดแบบศรีธนญชัย จึงต้องให้การศึกษาที่มีพลังพอเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่สังคม เป็นชุมชนเข้มแข็ง มีดุลยภาพ คือเจริญขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
                 พระธรรมลูกา 2:52 พูดถึงการเจริญเติบโตขององค์พระเยซูคริสตเจ้าอย่างมีดุลยภาพและสอดคล้องกัน นั่นคือ เจริญขึ้นทั้งด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม เป็นที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นที่ชอบในสายตาของมนุษย์
              ด้านสติปัญญา (IQ : Intelligence Quotient) ด้วยวัยเพียง 12 พรรษา พระองค์ก็สามารถตอบโต้ปัญญาและถกเรื่องของศาสนธรรมกับพวกผู้รู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
                พระธรรมลูกา 2:46-47 “พระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมาร”
นี่คือดุลยภาพทางสติปัญญาของพระองค์
              ด้านร่างกาย (PQ : Physical Quotient) พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ Contemporary English Version ใช้คำว่า Jesus became both tall and wise นั่นคือทรงมีพระวรกายสูงและสติปัญญาฉลาดแหลมคม ความเจริญด้านร่างกายของพระองค์นั้นเราเห็นได้จาก
                พระธรรมลูกา 2:40 “พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน”
จะเห็นได้ว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงจำเริญขึ้นอย่างมีดุลยภาพ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา (physical, emotional, and cognitive growth)
เป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและคนทั้งหลาย (Spiritual and Social Quotient)
                พระธรรมมัทธิว 3:17 “…พระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อองค์พระเยซูคริสตเจ้าได้เสด็จไปรับบัพติศมากับท่านยอห์น เป็นการกระทำที่พระบิดาทรงพอพระทัยพระองค์มาก คือ เป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า ขณะเดียวกัน
                 พระธรรมมัทธิว 21:9 “…ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ติดตามมาข้างหลังก็พร้อมกันโห่ร้องว่า โฮซันนา ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ”
องค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงมีดุลยภาพในการดำเนินชีวิตทั้งสองด้าน คือชีวิตฝ่ายร่างกายและชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นความสมดุลกันที่เราทุกคนควรรับเอาเป็นแบบอย่าง
บางคนเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาแต่ไม่เป็นที่ชอบของสังคมเพราะเขาใช้ปัญญานั้นเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อกอบโกย บางคนคิดว่าตัวเองเป็นคนดีเห็นคนอื่นเป็นคนชั่วไปหมด นี่คือการขาดสมดุลในตนเอง

               วัฒนาวิทยาลัย นอกจากจะสอนให้นักเรียนเป็นคนมีสติปัญญา ความรู้แล้ว ยังสอนให้เป็นคนที่มีคุณธรรม มีดุลยภาพในการดำเนินชีวิต (balance of life) การจัดการเรียนการสอนจึงได้กำหนดให้วันอังคารและวันพฤหัสบดี เป็นชั่วโมง assembly อบรมจริยธรรมผ่านทางเสียงเพลง วันพุธ มีชั่วโมง Bible study สอนให้ใช้หลักศาสนธรรมนำชีวิต วันศุกร์ มี Chapel เพื่อยกระดับของ Spiritual Quotient ให้สูงเท่ากับ Intelligence Quotient เพราะหากว่าจะเป็นคนดีเพียงอย่างเดียวแต่ขาดความรู้ก็ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือเป็นคนที่มีความรู้แต่ขาดคุณธรรมก็ยิ่งแย่และอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการจัดการศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นการศึกษาเพื่อให้นักเรียนทุกคนเจริญขึ้นอย่างมีดุลยภาพเท่าเทียมกันครบทุกมิติ

                                                                      ขอพระเจ้าอวยพร