ความซื่อสัตย์ ( Honesty )

 

 

คำว่า “Honesty” ความซื่อสัตย์มีความหมายตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า “ Holiness” ความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหมายถึง “God” พระเป็นเจ้า หากใช้คำนี้กับมนุษย์ก็จะมีความหมายว่า “ Reverence” ความเคารพนับถือ หรือ ควรแก่การนับถือ มีความจริงใจ ( sincerity ) ในคำพูดและการกระทำ ปากกับใจตรงกัน คนที่ซื่อสัตย์ จึงเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่อง เป็นคนพูดความจริงเสมอ ประพฤติตนตามทำนองคลองธรรม ดำเนินชีวิตร่วมกับคนในสังคมอย่างคนดีมีคุณธรรม

ดังคำพูดที่ว่า “Truth and honesty is the best policy” ความจริงและความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด

 

ความซื่อสัตย์สำคัญอย่างไร

พระธรรมสดุดี 24 : 3-5 ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้าและผู้ใดจะยืนอยู่ในวิสุทธิสถานของ พระองค์ คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้ปลงใจในสิ่งเท็จและ มิได้สาบานอย่างหลอกลวง เขาจะรับพระพรจากพระเจ้า... ” พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ในพระองค์นั้นมีแต่ความจริง และความรักมั่นคง บรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีมือสะอาด ไม่กระทำการฉ้อฉล หลอกลวง ก็จะได้รับพระพรจากพระองค์

ความซื่อสัตย์จึงมีนัยสำคัญ 3 ประการดังนี้

ประการแรก : พระเจ้าทรงพอพระทัยในความซื่อสัตย์ ( Lord delights in honesty )

พระธรรมสุภาษิต 11 : 1 “ .....พระเจ้าทรงพอพระทัยผู้ที่มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ” ( “ ..... Lord delights in honesty )

การกระทำใด ๆ ก็ตามต้องสอดคล้องกับพระบัญญัติของพระเจ้า คือ เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ ปราศจากการหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกิจการค้าขาย ต้องทำอย่างโปร่งใส พระเจ้าทรงพอพระทัยในการใช้ตาชั่งที่ถูกต้อง ( Honest weight is his delight )

พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 25 : 15 “ ท่านทั่งหลายจงใช้เครื่องชั่ง วัดตวงที่เที่ยงตรง ” น้ำพระทัยของพระเจ้าชัดเจนมากในเรื่องความซื่อสัตย์ อีกทั้งจะทรงอวยพรแก่ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมสุภาษิต 11 : 3 “ ความซื่อสัตย์จะนำทางชีวิตของคนดี ส่วนคนที่ไม่ซื่อสัตย์ก็จะถูกทำลาย ด้วยความคดโกงที่เขาทำ ความไม่ซื่อสัตย์ และความหลอกลวงทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของมัน แต่ความซื่อสัตย์คือ เสรีภาพที่จะนำเราไปสู่การอภัยโทษบาปจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ประการที่สอง : พระเจ้าทรงประสงค์ให้กระทำความยุติธรรม ( Lord demands fairness )

พระธรรมสุภาษิต 16 :11 “ ตาชั่งเที่ยงตรงเป็นของพระเจ้า เครื่องชั่ง วัด ตวง มีมาตรฐานเดียวกัน และการค้าขายที่มีความซื่อสัตย์ ” ( The Lord demands fairness in every business deal ; he wants weights and measures to be honest ) ความซื่อสัตย์และความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ ต้องมีการกระทำควบคู่กันไปด้วย งค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องให้เราทุกคนทำตามมาตรฐานที่ได้ทรงวางแบบอย่างไว้แล้วและคาดหวังในตัวเราทุกคนให้ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ ( God sets the standard and expects it )

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้เราทำทุกสิ่งด้วยความซื่อสัตย์ หากเป็นการค้าขายก็ให้ใช้เครื่องชั่ง วัด ตวงที่มีมาตรฐาน ไม่โกงตาชั่ง ไม่โกงน้ำหนัก เป็น honest weights = just weight ที่ไม่ลำเอียง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น พระเป็นเจ้าจึงบัญชาให้กระทำการค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ ( Commercial honesty is a divine command ) น้ำหนักและการวัดที่เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์เท่านั้นจึงจะได้รับการประทับตรารับรองจากพระเจ้า ( Honest scales and balances are from the Lord ) การกระทำใดๆที่ไม่ยุติธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์จะอยู่ตรงข้ามกับพระองค์

พระธรรมเอเสเคียล 45 :10 “ เจ้าจงมีตาชั่งที่เที่ยงตรง ”

ประการสุดท้าย : พระเจ้าทรงเกลียดชังการกระทำที่มีสองมาตรฐาน

( Lord despises double standards )

พระธรรมสุภาษิต 20:10 “ พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ เขาใช้เครื่องชั่งที่โกงน้ำหนักและ

เครื่องวัดที่ไม่เที่ยงตรง ” ( The Lord hates people who use dishonest weights and measure) คำว่า “ สองมาตรฐาน ” ( double standards ) คือการกระทำที่ไม่ยุติธรรม ลำเอียง เลือกปฏิบัติต่อแต่ละกลุ่มแต่ละบุคคลที่แม้อยู่ภายใต้กฎ กติกาเดียวกัน ไม่เหมือนกัน เข้าข้างบางคน การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ( God detests dishonesty ) ทรงตรัสอย่างชัดเจนใน

พระธรรมมีคาห์ 6 :11 “ เราจะยกโทษแก่ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ คือบรรดาผู้ที่โกงตาชั่งและเครื่องวัดได้หรือ ” เป็นคำเตือนคนที่กระทำธุรกิจด้วยกลโกง หลอกลวง เพราะตาชั่งและลูกตุ้มที่บิดเบือนก็จะถูกใช้เพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า ( A false balance is used to cheat the poor ) ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงเกลียดชังการกระทำเช่นนี้ยิ่งนัก

ดังนั้นเราทุกคนในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าจึงต้องกระทำในสิ่งที่เป็นสองมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวที่มีความซื่อสัตย์ ( double standards to fair standards ) และตาชั่งที่คดโกงเป็นตาชั่งที่มีความเที่ยงตรง ( false balance to honest balance ) เพราะมาตรฐานก็คือสิงที่ถือเป็นเกณฑ์สำหรับความซื่อสัตย์ที่ต้องประพฤติปฏิบัติ

ชาววัฒนาทุกคนพึงระลึกเสมอว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยในความซื่อสัตย์ ( Lord delights in honesty ) พระองค์ทรงประสงค์ให้เรากระทำความยุติธรรม ( Lord demands fairness ) และพระเจ้าทรงเกลียดชังการกระทำที่มีสองมาตรฐาน ( Lord despises double standards ) พระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีแก่บรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ปรากฏใน

พระธรรมลูกา 16 : 10 “ คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่ไม่สัตย์ซื่อ ในของเล็กน้อยก็จะไม่สัตย์ซื่อในของมากด้วย ”

หมายความว่าผู้ที่มีความซื่อสัตย์ก็จะได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบพันธกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นรางวัลต่อตนเองและวงศ์ตระกูล ( Honest people are given more responsibility )

ความซื่อสัตย์ ( Honesty ) มีความจริงใจ เป็นคนที่ไว้วางใจได้ ไม่คดโกง หลอกลวงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบผู้อื่น พูดความจริงเสมอ ถือเป็นค่านิยมหลัก ( core values ) ที่ชาววัฒนายึดถือและประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลากว่า 130 ปี เราได้รับการปลูกฝังผ่านทางชีวิตของครูผู้สอน การเผยพระวจนะธรรม และทางบทเพลงที่เป็นดังคำปฏิญาณว่า

“ ฉันจะสัตย์ซื่อ เพราะคนเชื่อถือไว้ใจฉัน ”